รีวิวภาพยนตร์ TENET เทเน็ท หนังไซไฟสุดล้ำ

หนังสไตล์ สายลับเจมส์ บอนด์ ที่บอกเล่าในแบบโนแลน เล่นเน้นเรื่องการย้อนเวลาและช่วยโลกให้รอด [ไม่สปอยนะ]

รีวิว ภาพยนตร์ TENET เทเน็ท เป็นเรื่องราวของ จอห์น เดวิด วอร์ชิงตัน ที่คิดว่าตัวเองได้ตายไปแล้วด้วยการกลืนยาตามวิสัยความเป็นสายลับที่ดี แต่ผลของการทำเช่นนั้นกลับกลายเป็นว่า มันทำให้เขาได้พบกับชีวิตใหม่ที่ซึ่งมีเงื่อนงำของ “เทเน็ท”  เขากลายเป็นนักสืบที่ได้เรียนรู้ถึงกลไกที่ตัวร้ายของเรื่องใช้เพื่อก่อการบางสิ่งที่ร้ายแรงมาก โดยอาวุธร้ายครั้งนี้ อาจมิใช่นิวเคลียร์ แต่เป็น ‘เวลา’ และเขาต้องดำเนินการสืบและยับยั้งเรื่องดังกล่าวไปพร้อมๆ กับสหายหนุ่มหล่อนามว่า นีล บุคคลปริศนาที่มักจะโผล่มาช่วยเขาเสมอ รวมไปถึงแคทเทอรีน หญิงสาวผู้ร่ำรวย โดยที่เขานั้นจะต้องออกเดินทางไปในแทบทุกมุมโลก เพื่อตามหาเบาะแสอันสำคัญในการหยุดยั้งสงครามโลกครั้งที่สาม โดยที่การเดินทางของเขานั้นจะต้องพบเจอกับเรื่องประหลาดมากมาย

หลายๆ คนที่เป็นแฟนคลับหนังไซไฟก็คงรู้กันดีอยู่แล้วว่า หนังของโนแลน มีความดูยากมากแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่หนึ่งในหนังที่ดูง่ายของเขาอีกเช่นกัน แต่ขอแนะนำว่าหนังเรื่องนี้คุณพยายามอย่าไปคิดอะไรมาก ให้ใช้ความรู้สึก แล้วคุณจะสนุกไปกับหนังเอง แล้วขอแนะนำอีกอย่างคือ พยายามอย่าละสายตาหรือหลุดโฟกัสจากหนังเรื่องนี้ เพราะไม่เช่นนั้นคุณอาจจะดูไม่รู้เรื่อง หรือรู้สึกงง กับเรื่องที่เกิดขึ้นก็เป็นได้ สำหรับทฤษฎีในเรื่องก็ต้องขอบอกว่าโนแลนทำออกมาได้ค่อนข้างน่าประทับใจ ด้วยความที่เขาใส่กฎของตัวเองเข้าไปก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้มีเสน่ห์มากขึ้น

สำหรับคนที่ยังชั่งใจดูว่าจะดูหนังเรื่องนี้ดีหรือไม่ ขอบอกเลยว่าให้ลองไปดูก่อน ไม่ต้องกลัวว่าจะออกแนวน่าเบื่อตามประสาหนังวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจยาก เพราะว่าเมื่อคุณจะรู้สึกเช่นนั้น ในเรื่องก็จะมีฉากแบบอารมณ์หนังจารกรรม ย้อนเวลาสนุกๆ ให้คุณได้ตื่นเต้นตื่นตากันอย่างแน่นอน

เท่านั้นยังไม่พอ สำหรับนักแสดงของเรื่องนี้ก็ต้องขอบอกว่าทุกคนก็ได้ปล่อยฝีมือการแสดงอย่างเต็มที่ ลบคำสบประมาทต่างไปได้เยอะทีเดียว จึงบอกได้เลยว่า ภาพยนต์ TENET เทเน็ท เป็นหนังที่คุณจะพลาดไม่ได้จริง ๆ

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

รีวิวหนัง The Platform : สยองขวัญกับโลกชนชั้นแนวดิ่งถูกใจแน่นอน

รีวิวหนัง The Platform เอาละครับมาเข้าเนื้อเรื่องของหนังกันเลยโกเรง(อีวาน มาสซากูเอ้)  ตื่นขึ้นมาด้วยความสงสัยเมื่อนอนบนเตียง ในห้องๆ หนึ่งที่อีกฟากมีชายแก่คนหนึ่งชื่อว่า  ตรีมากาซี(โซเรี่ยน เอกูเลียร์)แม้เราจะทราบว่าเขาเต็มใจมาอยู่ที่นี่ สถานที่ซึ่งหากอยู่ครบตามกำหนดจะสามารถได้ใบประกาศหนึ่งใบ แต่เขาก็รู้จักรายละเอียดของสถานที่แห่งนี้มันน้อยเต็มทน

สิ่งที่เขาเห็นคือในห้องแคบๆ ในหอคอยระฟ้าแห่งหนึ่งที่เขียนหมายเลขชั้นบนกำแพง ไร้การตกแต่งใดๆ มีอ่างล้างหน้าหนึ่งตัว ไม่มีบันได มีช่องว่างตรงกลางอาคารที่เมื่อมองลงไปมีอีกหลายสิบชั้นราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อมีเสียงสัญญาณดังขึ้น จะมีแท่นขนาดพอดีกับช่องว่างนั้นมาพร้อมกับอาหารจัดวางเรียงเต็มแท่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสดังกล่าว อาหารถูกปรุงโดยพ่อครัวฝีมือดีที่อยู่ชั้น 0 หรือชั้นบนสุด เว้นแต่ว่ามันเป็นเศษอาหารเหลือจากอีกหลายชั้นก่อนหน้า ที่บางอย่างเหลือเพียงซากเศษของการกินอย่างมูมมาย เลอะเทอะเต็มแท่นเท่านั้นเวลากินอาหารบนแท่นมีเพียง 2 นาที

ห้ามมีการเก็บอาหารไว้กินสำรองในมื้อต่อไปมิฉะนั้นอุณหภูมิห้องจะร้อนหรือเย็นจัดขึ้นมาทันทีจากนั้นแท่นจะเลื่อนลงไปตามชั้นต่างๆ จนถึงด้านล่างสุด ยามกลางคืนท่ามกลางแสงสีแดง แท่นจะพุ่งขึ้นกลับสู่ชั้นบนด้วยความเร็วสูงเป็นชั้นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวี่วันแท้จริงที่นี่คือคุกจองจำนักโทษที่หากสามารถทนอยู่ได้จนครบตามกำหนดจะถูกปล่อยเป็นอิสระ ขณะที่ตัวโกเรงนั้นกลับต่างออกไป เขามาที่นี่ด้วยความต้องการใบประกาศที่หนังไม่ได้บอกให้ทราบว่าหากอยู่ครบกำหนดมันจะให้อะไรตอบแทนกับเขา ?โดยที่โกเรงเพิ่งตระหนักได้ว่าหลังจากเวลาผ่านไปราว 3 เดือน

จะมีเงื่อนไขในการสลับเปลี่ยนคนทั้งสองไปอยู่ชั้นอื่นที่อาจอยู่สูงกว่า หรือต่ำกว่านี้ก็ได้เช่นกัน และเมื่อถึงตอนนั้นเองความไว้เนื้อเชื่อใจของคนในห้องก็จะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือนักโทษหรือผู้เลือกมาอยู่ที่นี่จะได้เงื่อนไขให้นำของติดตัวมาได้หนึ่งอย่าง โกเรงเลือกหนังสือนิยาย Man of La Mancha (ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน) วรรณกรรมอมตะของสเปนโดย มิเกล เด เซร์บันเตส ซาอาเบดรา ในปี ค.ศ.1605 ซึ่งว่าด้วยการทำตามความฝันแม้จะเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้…แต่ยิ่งนานวันเข้า เขาก็พบว่าตนเองค่อยๆ ลืมเลือนความฝัน

ความหิวทำให้ตนแทบไม่ได้สนใจหนังสือ กินอาหารที่ได้รับมาโดยไม่สนใจใครผิดจากช่วงแรกๆ และละทิ้งความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกทีโกเรงยังพบว่าถึงจะอยู่ชั้นสูงกว่าก็ใช่จะสบาย ความว่างและอิ่มท้องทำให้คิดฟุ้งซ่าน หลายคนอาจเลือกจบชีวิตเช่นเดียวกับอีกหลายคนที่เมื่อทราบว่าตนอยู่ชั้นที่ไร้ทางรอดก็เลือกจะจบชีวิตตนเองได้เช่นกัน รวมถึงพบกับผู้คนที่มีมุมมองต่อสถานที่แห่งนี้ต่างกันออกไป บางคนเชื่อว่ามันคือแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาให้เราต้องแบ่งอาหารเท่าๆ กันทุกชั้น แต่คนที่เข้ามากลับไม่มีทำตามเงื่อนไขดังกล่าวสักคน หรือคนที่เชื่อว่าหากขึ้นไปบนชั้นสูงสุดได้จะพบกับสัจธรรมบางอย่างจากพระผู้เป็นเจ้าการกระทำที่โหดเหี้ยมต่อกันของผู้คนในเรื่อง ทำใหัมันเป็นหนังที่มีฉากนองเลือดมากมาย โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ภาพศพคนตายอย่างสยอดสยองมีมากขึ้นเรื่อยๆ  หากการดำเนินเรื่องที่มีสถานการณ์ใหม่ๆ เข้ามาของ  กัซเตลู–เออรูเทีย ก็สร้างความสนใจใคร่รู้ให้เราต่อเนื่องไปจนจบ

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวหนังLoveGuaranteed : รักรับประกันได้เลยว่าโดนใจแน่นอน !

รีวิวหนังLoveGuaranteed : หากใครกำลังมองหาหนังรักแนวโรแมนติกแนะนำเลย !

รีวิวหนังLoveGuaranteed นี่เป็นหนังรักที่ดูเหมือนไม่มีอะไรจากหน้าหนัง แถมยังลงเน็ตฟลิกซ์ด้วย ก็เหมือนการการันตีว่าคงไม่ได้มีดีอะไรมาก แต่กลายเป็นว่าความคิดนี้ผิดถนัด ตัวหนังที่เหมือนไม่มีอะไร แต่กลับหยิบยกเรื่องปัญหาของคนทั้งโลกที่ว่า ความรักรับประกันได้จริงๆ หรือไม่? ซึ่งไม่ใช่แค่เล่นกับพล็อตเรื่องที่พระเอกฟ้องเว็บไซต์หาคู่ที่ดันใช้ชื่อ Love Guaranteed

มาเป็นประเด็นให้ถูกพระเอกฟ้องร้องโจมตีว่าโฆษณาหลอกลวงเกินจริง แต่หนังให้นิยามคำตอบหลายแง่มุมกับความคิดของคนที่มองหารักแท้ ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งนี้มันการันตีไม่ได้ เป็นคำตอบที่ใครๆ ก็ต้องรู้อยู่เต็มอก แต่ก็ยังพยายามหารักแท้กันให้ได้ ซึ่งถ้ามีการการันตีได้ใครๆ ก็คงพร้อมจ่ายให้ได้รักแท้มากันทุกคน

ความรักรับประกันได้หรือไม่?2ตัวเรื่องพยายามยิงคำถามกลับมายังผู้ชมเป็นระยะๆ ให้คิดถึงเรื่องการการันตีความรัก ผ่านทั้งทางการว่าความของนางเอกซูซานที่พยายามตรวจสอบทุกอย่างให้รอบคอบที่สุด ไปจนถึงการขุดคุ้ยประวัติของลูกความตัวเองที่เคยมีบาดแผลความรักในอดีต ที่เกือบจะได้แต่งงานแล้วแต่ห้วงสุดท้ายอะไรๆ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และยังในแง่มุมของการว่าความสู้คดีที่ดูเหมือนคดีเล็กๆ แต่กลับไม่เล็กอย่างที่คิดเมื่อ ทามาล่า เทเลอร์ (เล่นโดย เฮเธอร์ เกรแฮม) เจ้าของเว็บไซต์หาคู่นี้เป็นเจ้าแม่ในโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ทรงกับผู้หญิง

  และการฟ้องร้องเว็บหาคู่อันดับ 1 นี้ก็เท่ากับประกาศสงครามกับธุรกิจหาคู่ทั้งหมดไปในตัวว่าเป็นการหลอกลวงหากินกับความหวังในการหาความรักของคน เท่านั้นไม่พอเรื่องยังผูกเอาความรักของพระเอกนางเอกตามสูตรหนังเรื่องนี้เข้ากับการตัดสินคดีไปพร้อมกัน ซึ่งตอนจบหนังแนวนี้เชื่อว่าทุกคนเดาได้อยู่แล้ว แต่ตัวหนังก็ยังฉลาดที่หยิบเอาเรื่องการการันตีความรักมาเป็นตอนจบได้อย่างเก๋ไก๋ แถมยังมีความคมคายลึกๆ ตอบสิ่งที่หนังตั้งคำถามไว้ตลอดเรื่องไปในตัว ว่าความรักการันตีได้หรือไม่?

สรุปเลยนะครับว่านี่เป็นหนังรอมคอมเล็กๆ จาก Netflix ที่หยิบนางเอกดังในอดีตสองคนกลับมาเล่นได้อย่างน่ารักสมวัย แม้หน้าหนังพล็อตเรื่องอาจจะดูเบาๆ ดูเป็นแนวรักตลกทั่วไป แต่ตัวเรื่องมีความคมคายลึกซึ้งเรื่องความรักแทรกไว้ได้อย่างน่าสนใจตลอดเวลา พร้อมกับคำตอบในตอนจบที่หยิบเอาชื่อเรื่องมาใช้เป็นบทสรุปที่แม้เดาได้ แต่ก็มีความคมอยู่ในแง่มุมของคำตอบที่ว่า ความรักการันตีได้หรือไม่? ได้ลงตัวมาก

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB :Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว Netflix

รีวิวหนังThe Half of It : มาเลยครับสำหรับคอหนังรักแบบอินเลิฟฟต้องไปดูกัน !`

รีวิวหนังThe Half of It : ชีวิตจะสมบูรณ์ไหม ถ้าฉันไม่ได้เจออีกครึ่งใจของตัวเอง

รีวิวหนังThe Half of It : เล่าให้ฟังในการสัมภาษณ์ตอนเธอกำกับ Saving Face หนังเรื่องแรก เธอไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องทำหนังที่แตกต่างจากเรื่องอื่นหรือสร้างสิ่งใหม่ให้ฮอลลีวูด ณ ตอนนั้นการทำหนังรอมคอมว่าด้วยความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิงที่มีตัวเอกเป็นคนจีน-อเมริกันถือว่าหาดูได้ยากยิ่ง (แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเป็น)วูบอกว่าเธอแค่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน มีเชื้อสายเอเชียน-อเมริกัน และเพียงอยากทำหนังที่มีคาแร็กเตอร์หลักเป็นคนที่คนดูไม่ค่อยเห็นกันบนจอเท่านั้น ความเซอร์ไพรส์คือหลังจากวันที่หนังออกฉาย

คนดูจำนวนมากซึ่งมาจากต่างที่ ต่างพื้นเพ ล้วนบอกว่าพวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับหนังของเธอ ตอนนั้นเองที่ทำให้วูรู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำนั้นสำคัญ และอาจเชื่อมโยงกับหลายคนได้มากกว่าที่เธอคิดปณิธานการทำหนังแบบนี้ยังถูกใช้กับเรื่องใหม่ แม้วูจะเว้นช่วงมานานกว่า 16 ปีและแน่นอนว่า The Half of It คือหนังเรื่องสำคัญ ไม่ได้กับเธอเท่านั้น แต่มันยังสำคัญกับใครหลายคนในมิติที่แตกต่างจากเรื่องก่อน

เหมือนถูกบังคับให้เป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน เอลลี่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นคนให้สัญญาณรถไฟแทนพ่อจนเพื่อนที่โรงเรียนตั้งฉายา เอลลี่ ชู-ชู (อารมณ์เสียงรถไฟฉึกกะฉัก ปู๊นๆ แต่ซับไทยแปลว่า เอลลี่ชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ ซึ่งก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ) เธอใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน คิดอยู่เสมอว่าจะต้องอยู่เมืองเล็กๆ นี้กับพ่อไปจนตาย และถึงจะเรียนอยู่ปีสุดท้าย เธอก็ไม่คิดจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย

ตั้งแต่เด็กฉันแทบจะไม่ได้ดูหนังที่ตัวละครเอกเป็นคนเชื้อสายเอเชีย-อเมริกัน ลีอาห์ ลูวิส ย้ำว่าการได้สวมบทบาทเป็นเอลลี่เป็นมากกว่าการแสดงหนังเรื่องหนึ่ง เพราะนี่อาจเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เด็กสาวเชื้อสายเอเชีย-อเมริกันจะได้เห็นตัวละครคล้ายตัวเองรับบทนำในหนังเมนสตรีม เรื่องของพวกเขาควรค่าแก่การถูกเล่า เพราะในโลกความจริงพวกเขาคือตัวเอกในหนังชีวิตของตัวเอง และพวกเขาก็เผชิญปัญหาที่เอลลี่กำลังเจออยู่จริงๆ

สำหรับเรื่องนี้แอดมินว่ามันเกี่ยวกับ ความสมหวังและความเป็นหนังรักแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น สำหรับ Netflix รับรองได้ว่าหนังเรื่องนี้ดีไม่แพ้เรื่องไหนเลยลองไปหามาดูกันได้เลยแอดมินว่าน่าจะถูกใจใครหลายๆ คนนะครับ

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวหนังReady player for one : รับรองกับสายเกมส์เมอร์และอนิเมชั่นว่าชอบ !

ก่อนอื่นแอดมินต้องขอบอกว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2045 ช่วงที่โลกเต็มไปด้วยความวุ่นวายและการล่มสลาย แต่ผู้คนพบทางรอดชีวิตที่ดิ โอเอซิส ซึ่งเป็นจักรวาลเสมือนจริงอันกว้างใหญ่ที่เราสามารถไปที่ไหนก็ได้ ทำอะไรก็ได้ เป็นใครก็ได้ ดิ โอเอซิสสร้างขึ้นโดย เจมส์ ฮัลลิเดย์ (มาร์ค ไรแลนซ์) เมื่อฮัลลิเดย์เสียชีวิตลง เขาได้ทิ้งทรัพย์สมบัติมหาศาลและอำนาจในการควบคุมดิ โอเอซิสทั้งหมดให้กับคนแรกที่ได้กุญแจทั้ง 3 ดอก เพื่อเปิดประตูสู่ไข่อีสเตอร์ดิจิตอลที่เขซ่อนไว้ในสถานที่ ความท้าทายของเขาทำให้เกิดเกมที่มีการแข่งขันขึ้นทั่วโลก

เห็นไหมแค่เพียงได้อ่านเรื่องย่อสั้นๆก็เป็นที่น่าสนใจไปไม่น้อยสำหรับคอ อย่างเราๆโดยเนื้อเรื่องของภาพยนต์เรื่องนี้ จะตัดสลัดไปมาระหว่าง OASIS (โลกในเกมส์) และโลกแห่งความจริงและ ซึ่งตัวหนังก็ใช้พล็อคเรื่องที่ออกจะเป็นแล้วสูตรสำเร็จแต่ก็ไม่ได้ทำให้ดูหน้าเบื่อแต่อย่างใดด้วยและด้วย CG ที่คุณภาพมากๆ (แค่ดู CG ก็คุ้มแล้ว)

กับมุขตลกที่แทรกมาในหนังอย่างลงตัวทำให้ภาพยนต์เรื่องนี้จัดอยู่ในเรตที่ว่าชาว อย่างเราไม่ควรพลาด แอดมินเสริมเลยว่าเรื่องนี้ถ้าหากใครยังไม่เคยดูต้องไปลองมาหาดู เหมือนกับ่ว่าเป็นขวัญใจของชาว อนิเมชั่น หรือ อนิเมะ แถมสำหรับคนที่ชอบกันดั้ม เพียงแค่ได้เห็นกันดั้มไม่ถึง 10 นาที แค่นั้นก็สุขใจแล้ววว 5555555

บทสรุปเรื่องนี้แอดมินชอบมากๆ เลยครับเพราะส่วนตัวเราแล้วชอบกันดั้มด้วย และยังชอบ อนิเมชั่น หรือ อนิเมะ ที่รวมกันในเรื่องนี้ทำให้เนื้อเรื่องสนุกขึ้นไปเป็นเท่าตัว และขอบอกเลยว่าสำหรับ สายเกมส์เมอร์ ถ้าดูหนังเรื่องนี้แล้วไม่ชอบแอดมินว่าไม่ใช่ สายเกมส์เมอร์ แล้วแหละขอรับประกันจาก แอดมินเลยว่าพลาดไม่ได้ !!!

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวซีรีส์ Family Business SS1 รับประกันความฮาได้จาก NetFilx ครับ !

เนื้อเรื่องเริ่มด้วยเรื่องราวของตระกูล “ฮาซาน” ที่ เจอร์ราด คนพ่อเข้ามาปักหลักเปิดร้ายขายเนื้อในปารีสมานาน แต่แล้วพอถึงช่วงเปลี่ยนถ่ายให้ลูกๆ มารับช่วงต่อ ทั้งลูกสาวคนโต “ออร์” กับ “โฌเซฟ” ลูกชายคนเล็ก กลับเบื่อหน่ายการขายเนื้อไม่อยากรับช่วงต่อแล้ว และหันเหไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ของตัวเอง แถมร้านนี้ยังใกล้ล้มละลายจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของพ่อ ก่อนที่จะ “โฌเซฟ” จะได้ยินเรื่องวงในจากปากลูกสาวรัฐมนตรีที่หลงรักเพื่อนซี้ 

ทั้งคู่จึงปิ๊งไอเดียเปิดร้านขายกัญชาแทนร้านขายเนื้อของพ่อ แต่ต้องทำยังไงถึงจะให้พ่อของเขายินยอม ก่อนที่เรื่องจะหลุดเข้าหูของยายกับพี่สาว ที่ก็ตาวาวกับธุรกิจใหม่นี้เช่นกันแนวทางของซีรีส์เรื่องนี้เป็นไปตามชื่อเรื่องคือ ธุรกิจครอบครัว เรื่องนำเสนอความฮาจากแผนธุรกิจของแต่ละคนกับกัญชา ที่ตอนแรกต่างคนต่างหวังรวยจากแผนในใจของตัวเอง

แต่ก็กลายเป็นว่าพอแผนแตกทุกคนก็ได้รู้ว่าคิดไปในทางเดียวกันคือเรื่องธุรกิจกัญชาคาเฟ่ แบบที่ “อัมสเตอร์ดัม” เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ‘ดินแดนแห่งกัญชาเสรี’ ที่รู้จักกันดีทั่วโลก ซึ่งการที่จะเปิดร้านกัญชาก่อนใครได้ก็ต้องมาดูต้นแบบที่นี่ ซีรีส์นำพาตัวละครให้มารู้จักกับธุรกิจใหม่ที่เมืองแห่งนี้ พร้อมทั้งเรื่องโสเภณีที่ขึ้นชื่อในเมืองนี้เพราะเป็นเรื่องถูกกฎหมายเช่นเดียวกัน 

สรุปเลยนะครับ
มินิซีรีส์ขนาดสั้น 6 ตอนจบซีซั่น ด้วยความยาวแต่ละตอนไม่ถึง 30 นาที แต่เสิร์ฟความฮามาให้ผู้ชมได้ตลอดเวลาไม่หยุดหย่อน แม้มุกตลกอาจจะลามกสัปดนตามสไตล์ฝรั่งไปบ้าง แต่รับรองว่าคนไทยก็คงมีขำไปกับมุกเหล่านี้เยอะ เมื่อตัวเรื่องโฟกัสที่เรื่องกัญชาเสรีแบบเดียวกับที่เป็นกระแสบ้านเราก่อนช่วงโควิด พร้อมทั้งดราม่าชีวิตส่วนตัวสุดอลเวงของทุกคน

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว Netflix

รีวิวหนังA Hidden Life : หนังรักที่สร้างจากเรื่องจริงแนะนำให้ไปหาดูครับ

แอดมินว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่อิงมาจากเรื่องจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ที่มีความสุขเพียบพร้อม มีภรรยา มีลูกที่น่ารัก ทำไล่ทำนา ท่ามกลางธรรมชาติอันสดชื่น แต่ความสุขเหล่านั้นก็ถูกพรากไป เมื่อเขาโดนเกณฑ์ไปเป็นทหารให้กับ อะด๊อฟ ฮิตเลอร์ แต่เมื่อเขาได้เป็น

เขาก็รับรู้ว่าจริงๆ มันชั่วร้าย การทำสงคราม เข่นฆ่าผู้คนมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และเมื่อครั้งเขาโดนเรียกตัวอีกรอบ เขาจึงปฏิเสธที่จะออกรบให้กับ Hitler แต่เขาไม่ได้เลือกที่จะหนี เขาเลือกที่จะเผชิญหน้า และถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ ส่งผลให้ตัวเขาและครอบครัวตกที่นั่งลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถึงแม้หนังจะบอกเล่าถึงเรื่องราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นู้นนนน แต่ทำไมเราและเชื่อว่าใครหลายคนกลับมองว่ามันสะท้อนให้เห็นบางอย่างที่ไม่ได้ไกลตัวเลยแม้แต่น้อยทำไมคนที่เห็นต่างถึงกลายเป็นตัวปัญหา กลายเป็นคนผิด โดนสังคมประนาม โดนตัดสินไปต่างๆ นานา แถมครอบครัวยังต้องเดือดร้อนไปด้วย ทั้งจากชาวบ้านด้วยกันเอง

และระบอบเผด็จการทหารอันน่ารังเกียจใครเห็นต่างไม่เคารพ ท่านผู้นำ ก็ถูกจับไปขัง ใช้ความรุนแรงเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ผิด กดขี่ผู้น้อยอย่างไร้เหตุและผล พยายามโน้มน้าว ปรับทัศนคติให้เคารพเชื่อมั่นใน ท่านผู้นำ ถ้ายังไม่ได้อีก ก็นำไปขึ้นศาล ตัดสินคดีให้ผิด สั่งประหารซะสิ ง่ายๆ แค่นั้น มันคือชะตากรรมอันน่าหดหู่ของคนที่เห็นต่าง แค่คนที่ไม่เห็นด้วย ก็ต้องเจอกับเรื่องอันน่าเศร้าแบบนี้

มีประโยคนึงที่ตัวละครพูดเอาไว้ว่า เราจะมีสิทธิมีเสียงอะไรได้ เราแค่คนตัวเล็กๆ และ ยอมทนความอยุติธรรม ดีกว่าทำแบบนี้ สะท้อนภาพจำยอมของคนในสังคมที่รู้แหละมันไม่ได้ถูกซะทีเดียว แต่เราทำอะไรไม่ได้ ต้องก้มหน้า ยอมรับ และส่วนมากก็เป็นแบบนั้น แต่มันไม่ใช่กับพระเอก พระเอกยังยึดถือทัศนคติ แนวคิด ความเชื่อของเขา

ถึงแม้เขาไม่รู้หรอก การกระทำเขามันจะส่งผลอะไร ขยายไปวงกว้างแค่ไหน หรือจะมีประโยชน์ในภายภาคหลังต่อไปยังไง ถึงแม้จะหวังให้วงจรอุบาทนี้มันจบแค่รุ่นของเขาก็ตาม แต่เค้ายังยึดมั่นในสิ่งที่เขาเชื่อ ถึงแม้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ถึงแม้มันจะอาจหมายถึงการสละความสุขทุกอย่างก็ตาม

แอดมินขอสรุปให้เลยว่าหนังมีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง ที่เล่าเรื่องง่ายๆ แต่ตัวหนังอาจจะน่าเบื่อ ดำเนินเรื่องช้าๆ เนิบๆ ถ้าใครไม่ชอบอาจจะหลับได้หลายตลบเลยแหละ แต่สำหรับบางคนก็ชอบและถูกใจหนังแนวนี้อย่าลืมไปหามาชมกันนะครับ 

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวCARS 2 : อนิเมชั่นที่รวบรวมหลากหลายอารมส์และสนุกมากอีกด้วย

แอดมินชอบอนิเมชั่นเรื่องนี้มากแต่หากพูดกันตรงๆ แล้ว อนิเมชั่นเรื่อง CARS นับว่าไม่ได้มีอะไรใหม่มากนัก เพราะทุกอย่างยังคงเดินไปสูตรเปะๆ ตามแบบฉบับของ ดิสนีย์ เหนือสิ่งอื่นใด ที่แม้พลอตจะไม่ได้สดใหม่ แต่ทุกครั้งมนตร์ขลังของ ดิสนีย์-พิกซาร์ยังคงถูกร่ายให้คนดูได้ปลื้มปริ่ม ยิ้มกริ่มไปตลอดทั้งเรื่อง

แต่แม้เทคโนโลยีจะพัฒนาไปเพียงใด สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับ CARS และเป็นแก่นแท้ของเรื่อง จนทำให้ CARS เป็นภาพยนตร์ในดวงใจของหลายๆ คน ก็คือคำว่า มิตรภาพ แม้ภาคนี้จะถูกใส่เรื่องราวของสายลับคันใหม่เข้ามา แต่ แม็คควีน และ เมเทอร์ ยังคงสามารถโชว์เรื่องราวความผูกพันของเพื่อนซี้ ที่แม้จะเกิดรอยร้าวขึ้นระหว่างทั้งสอง แต่ด้วยสถานการณ์กลับทำให้พวกเขาแน่นแฟ้นกันมากกว่าเดิม

 ทั้งคู่ได้รับการสนับสนุนจากทีมงานจาก เรดิเอเตอร์ สปริงส์ เมื่อพวกเขาเดินทางไปต่างแดนเพื่อสนับสนุนไลท์นิงในการลงชิงชัย เวิลด์ กรังปรีซ์ ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ตัดสินตำแหน่งรถที่เร็วที่สุดในโลก แต่หนทางสู่เส้นชัยก็เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทางอ้อมและเรื่องเซอร์ไพรส์เมื่อเมเตอร์ถูกดึงตัวเครื่องเข้าไปพัวพันกับการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นของเขาเองในแวดวงสายลับระดับโลก

สำหรับแอดมินแล้วชอบมากๆ เพราะเป็นหนังอนิเมชั่นเรื่องต้นๆที่แอดมินตามเป็นภาคๆไปแต่ส่วนตัวชอบ ภาคนี้มากที่สุดอย่าลืมไปหามาดูนะครับรับรองว่าสนุกมาก

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว หนัง อนิเมชั่น

รีวิวTheNewMutants หนังฮีโร่สายพันธ์สยองขวัญชวนขนหัวลุก

แอดมินขอบอกเลยนะครับว่านี่คือหนังที่ติดโรคเลื่อนเยอะที่สุดตั้งแต่เราเกิดมาในชีวิตนี้เคยเจอมา เพราะมันถูกเลื่อนไปถึง 4 ครั้งเลยทีเดียว ด้วยปัญหาที่มากมาย จนจะได้เข้าฉายยังต้องมาเจอกับ Covid-19 เจ้ากรรมอีก แต่ในที่สุดเราก็ได้ดูมันก่อนหน้านี้ที่เคยมีข่าวว่าตัวหนังเลื่อนเพราะต้องไปถ่ายทำเพิ่มเติมให้มีความสยองมากขึ้น จริงๆ แล้วตัวผู้กำกับก็ออกมาบอกแล้วว่าไม่เคยมีการถ่ายซ่อมให้มันสยองกว่าเดิมแต่อย่างใด และทุกอย่างมันลงตัวนานแล้ว มันเลื่อนฉายบ่อยเพราะเหตุผลเรื่องปัญหาระหว่าง Disney กับ Fox เท่านั้น

ไอ้การเป็นหนังฮีโร่ธีมสยองขวัญเนี่ย มันก็น่าสนใจ น่าดึงดูดมากพอนะ เพราะมันดูแปลกใหม่ไม่ใช่เล่น แต่พอได้ดูจริงๆ แล้ว มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด มันไม่ใช่หนังสยองขวัญแต่อย่างใด ไม่มีลูกล่อลูกชน มีก็แบบเบาบางมาก จังหวะตุ้งแช่ หรือบรรยากาศหลอนก็ไม่มีให้เห็นเลย แค่องค์ประกอบโดยรวม เหมือนจะ เอื้อให้เป็นไปในทางนั้น และเอาจริงๆ มันก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรสักเท่าไหร่ จากธีมฮีโร่สยองขวัญจริงๆ

สิ่งที่พอจะน่าสนใจ คือแต่ละตัวละครมีพลัง มีของ มีความน่าสนใจให้เล่น ถึงแม้มันจะไม่ได้มีซีนโชว์ของให้เห็นมากเท่าไหร่ คือบางคนเรียกได้ว่านับซีนได้เลยว่าปล่อยพลังกี่ฉาก แต่เหล่านักแสดงเล่นกันดีนะ แต่มันกลับทำให้เราสนใจอยากรู้อยู่ลึกๆ ว่า ไอ้เด็กพวกนี้มันจะเอาไงต่อวะ โดยเฉพาะในตอนจบ อารมณ์หนังมันเปลี่ยนทันทีเลย

แต่ตัวละครที่น่าสนใจและน่าชื่นชมที่สุดคือ Illyana Rusputin/Magik ที่แสดงโดยน้อง Anya Taylor-Joy นี่ไม่ได้อวยแต่อย่างใด แต่ด้วยการแสดง ด้วยคาแรคเตอร์ ด้วยลุค ด้วยตัวละครที่น้องเล่นแล้วนั้น จากปกติเคยเห็นแต่บทสวยๆ พอมาเรื่องนี้ลุคนี้คือดีย์จริงๆ อยากให้น้องรับบทนี้ต่อในเรื่องอื่นเลยอะ

แต่ขอบอกเลยนะว่าไม่ใช่หนังเรื่องนี้มันแย่นะ แต่มันก็มีความสนุกของมันอยู่เอาเป็นว่าเข้าไปดูเองเลยดีกว่า เพราะบางคนก็ชอบหนังเรื่องนี้บางคนก็ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ความชอบคนเรามันไม่เท่ากัน 

แอดมินขอสารภาพเลยว่าความสนใจแรกของเรื่องนี้ คือไม่ทันได้ดูตัวอย่างหรือเนื้อเรื่องหรืออะไรหรอก แค่เห็นหน้าน้องก็อยากดูแล้ว 555+

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวTheSleepover หนังครอบครัว แนวนักสืบจอมโจรที่ไปไม่สุดสักทาง

ก่อนอื่นขออธิบายให้ฟังก่อนว่าเรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้วทั้งตัวอย่างที่นำเสนอออกมาว่าเป็นหนังเด็ก หนังครอบครัว ที่ให้อารมณ์เหมือน Spy Kid ผสมกับหนังแนวโจรกรรมแบบฮาๆของฝรั่ง เพราะฉะนั้นเรื่องความสมจริงทุกอย่างนั้น ให้เตะทิ้งออกไปให้หมดต้องบอกตามตรงว่า เรื่องนี้จะดูสนุกได้

ถ้าคุณมีความเป็นเด็กสูง หรือถ้าเป็นเด็กที่ชอบดูหนังแนวนี้ เพราะนอกจากหนังจะยัดองค์ประกอบที่เด็กๆน่าจะชอบ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่ฉากหน้าเป็ครอบครัวธรรมดาที่เข้าขั้นน่าเบื่อและมีความเพี้ยนสุดๆ แต่กลับมีความลับเหลือเชื่อซ่อนเอาไว้ฐานทัพลับที่มีไอเท็มไฮเทคเจ๋งๆไว้สำหรับทำภารกิจ ให้อารมณ์เหมือน Spy Kidการวางปริศนาที่เชื่อมโยงเอาไว้ ให้เด็กๆตามรอยไปการใส่ประเด็นเรื่อง ความไม่เข้าใจกันระหว่างวัยรุ่นและพ่อแม่

แต่แน่นอนว่า นี่คือหนังเด็ก เพราะฉะนั้นอย่าไปใส่ใจกับความสมจริงอะไรมากนัก เพราะทั้งเรื่องมีพลอตโฮลเต็มไปหมดที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า แม่ของครอบครัวนี้ ไปฝึกวิชาการต่อสู้ระดับทหารมาจากไหน แล้วเธอไปได้พวกอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆที่ถึงระดับสายลับข้ามชาติมาได้ยังไง ถึงแม้ตัวเรื่องจะใส่พลาตมาว่า เธอเคยทำงานให้องค์กรมาเฟียมาก็ตาม แต่ก็ยังไม่พอที่จะอธิบายความเว่อร์ของตัวแม่อยู่ดี

ตัวเรื่องจะมีการแยกเล่าเป็นสองเส้นเรื่องหลักคือ ฝั่งเด็กที่มีก๊วนเด็กสี่คนเป็นตัวนำ ซึ่งนักแสดงเด็กทั้งสี่คนทำได้ไม่เลว การแสดงยังดูล้นๆขาดๆเกินๆไปบ้าง ยังพอให้อภัยได้ มีบางซีนที่ทำได้ดีมากๆด้วยซ้ำอีกเส้นเรื่องจะเป็นการเดินเรื่องทางฝั่งผู้ใหญ่ ที่มีการแทรกเรื่องตัวตนปลอมๆทีต้องสร้างขึ้นมา ว่าแท้จริงแล้วแบบไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนแท้จริง

ขอสรุปเลยนะครับว่าน่าเสียดายว่า ทั้งสองเส้นเรื่องแม้จะดูน่าสนใจ แต่หนังมันไปไม่สุด จะเลือกเน้นโทนสายลับแนวไฮเทค ก็ไม่ได้ใช้ของหรืออุปกรณ์อะไรเลย จะมาแนวสายลับแนวบู๊แบบก็ทำไม่ถึง มีการสืบสวนตามรอยในแบบดาวินชีโค้ด ก็ไม่ได้เจ๋งอะไรนัก คือทุกอย่างมันดูครึ่งๆกลางๆไปหมด แล้วหนังพยายามหยิบทุกอย่างมารวมกัน

มันเลยดูเหมือนเป็นการยำใหญ่สารพัดพลอตเรื่องแนวนี้เข้ามา แต่ไม่กลมกล่อม บทพูดหรือไดอาล็อคก็เป็นแนวเชยๆ ที่ไม่ได้มีการพัฒนาอะไรมากนัก ตัวร้ายที่มีการหักมุมอาจจะร้องว้าวบ้าง แต่ก็ให้อารมณ์เฉยๆ ไม่น่าแปลกใจอะไรนักหนา

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว Netflix