รีวิวLove หากใครชอบหนังแนวครอบครัวลองไปหามาดูกันเลยครับ

ตัวเรื่องใช้เวลาในช่วงแรกหมดไปกับการใช้ชีวิตเดิมๆ กิน นอน ดูข่าว เล่นเกม (ก่อนนี่เน็ตจะล่ม) ในห้องของตัวพระเอก พร้อมปูว่าสัญญาณจากครอบครัวขาดไป ทำให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่บ้าง ซึ่งเวลาที่ผ่านไปก็ไม่ได้มีเรื่องตื่นเต้นอะไรมากนัก นอกจากช่วงแรกที่มีเพื่อนบ้านติดเชื้อหลงเข้ามาในบ้าน กับการที่ต้องมองเห็นคนผ่านไปกลายเป็นซอมบี้โดยที่เขาช่วยเหลือไม่ได้ ซึ่งตัวผู้กำกับอาจจะพยายามเสนอความแปลกใหม่ของการติดอยู่ห้องผ่านหนังแนวซอมบี้ก็ได้ แต่มันกลับมีความไม่สมเหตุผลปนอยู่เป็นระยะ อย่างการที่พระเอกดันไม่รองน้ำประปาเก็บไว้จนน้ำหมดแถมกว่าจะคิดออกไปหาอาหารก็นานเกินจนจะอดตายแล้ว

ว่าสองคนนี้จะมีอะไรกันมากกว่านี้หรือเปล่า ก่อนที่ทั้งคู่จะหาทางเข้ามาเจอกันจนได้เพื่อไปยังจุดหมายใหม่ที่ดูแล้วปลอดภัยกว่า แต่เรื่องความสมเหตุผลที่มีปัญหาในช่วงแรกก็ยังตามมาในช่วงหลังอยู่ดี โดยเฉพาะการบุกเดี่ยวสู้ซอมบี้ของนางเอกที่ดูเว่อร์เกินแบบไม่ค่อยมีเหตุผลในมุมคนเอาตัวรอดสักเท่าไหร่ (มีเชือกปีนเขาข้ามฝั่งได้ แต่กลับใช้โรยตัวลงไปบู้ซอมบี้แทน) แต่หนังคงอยากสร้างฉากการเอาตัวรอดวิ่งหนีระทึกๆ ให้สมกับเป็นหนังซอมบี้แทนการติดอยู่ในห้องแทบทั้งเรื่องบ้างเท่านั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าดูสนุก

สรุปเลยนะครับ ดารานำในเรื่องที่ดูแล้วน่าติดตามมาก แต่กลับไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย แถมยังมีความไม่สมเหตุผลปนอยู่เยอะตลอดทั้งเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้น่าติดตามคือความงามของนางเอกพัคชินฮเย ที่ช่วยให้เรื่องนี้ดูสดใสน่ารักขึ้นเป็นกองพระเอกค่อนข้างน่าเบื่อมาก ถ้าดูแบบหัวโล่งๆ เอามันส์ทั่วไปก็ถือว่าพอได้ผ่าน 

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวซีรีส์ Family Business SS1 รับประกันความฮาได้จาก NetFilx ครับ !

เนื้อเรื่องเริ่มด้วยเรื่องราวของตระกูล “ฮาซาน” ที่ เจอร์ราด คนพ่อเข้ามาปักหลักเปิดร้ายขายเนื้อในปารีสมานาน แต่แล้วพอถึงช่วงเปลี่ยนถ่ายให้ลูกๆ มารับช่วงต่อ ทั้งลูกสาวคนโต “ออร์” กับ “โฌเซฟ” ลูกชายคนเล็ก กลับเบื่อหน่ายการขายเนื้อไม่อยากรับช่วงต่อแล้ว และหันเหไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ของตัวเอง แถมร้านนี้ยังใกล้ล้มละลายจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของพ่อ ก่อนที่จะ “โฌเซฟ” จะได้ยินเรื่องวงในจากปากลูกสาวรัฐมนตรีที่หลงรักเพื่อนซี้ 

ทั้งคู่จึงปิ๊งไอเดียเปิดร้านขายกัญชาแทนร้านขายเนื้อของพ่อ แต่ต้องทำยังไงถึงจะให้พ่อของเขายินยอม ก่อนที่เรื่องจะหลุดเข้าหูของยายกับพี่สาว ที่ก็ตาวาวกับธุรกิจใหม่นี้เช่นกันแนวทางของซีรีส์เรื่องนี้เป็นไปตามชื่อเรื่องคือ ธุรกิจครอบครัว เรื่องนำเสนอความฮาจากแผนธุรกิจของแต่ละคนกับกัญชา ที่ตอนแรกต่างคนต่างหวังรวยจากแผนในใจของตัวเอง

แต่ก็กลายเป็นว่าพอแผนแตกทุกคนก็ได้รู้ว่าคิดไปในทางเดียวกันคือเรื่องธุรกิจกัญชาคาเฟ่ แบบที่ “อัมสเตอร์ดัม” เมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์ ‘ดินแดนแห่งกัญชาเสรี’ ที่รู้จักกันดีทั่วโลก ซึ่งการที่จะเปิดร้านกัญชาก่อนใครได้ก็ต้องมาดูต้นแบบที่นี่ ซีรีส์นำพาตัวละครให้มารู้จักกับธุรกิจใหม่ที่เมืองแห่งนี้ พร้อมทั้งเรื่องโสเภณีที่ขึ้นชื่อในเมืองนี้เพราะเป็นเรื่องถูกกฎหมายเช่นเดียวกัน 

สรุปเลยนะครับ
มินิซีรีส์ขนาดสั้น 6 ตอนจบซีซั่น ด้วยความยาวแต่ละตอนไม่ถึง 30 นาที แต่เสิร์ฟความฮามาให้ผู้ชมได้ตลอดเวลาไม่หยุดหย่อน แม้มุกตลกอาจจะลามกสัปดนตามสไตล์ฝรั่งไปบ้าง แต่รับรองว่าคนไทยก็คงมีขำไปกับมุกเหล่านี้เยอะ เมื่อตัวเรื่องโฟกัสที่เรื่องกัญชาเสรีแบบเดียวกับที่เป็นกระแสบ้านเราก่อนช่วงโควิด พร้อมทั้งดราม่าชีวิตส่วนตัวสุดอลเวงของทุกคน

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว Netflix

รีวิวหนังA Hidden Life : หนังรักที่สร้างจากเรื่องจริงแนะนำให้ไปหาดูครับ

แอดมินว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่อิงมาจากเรื่องจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ที่มีความสุขเพียบพร้อม มีภรรยา มีลูกที่น่ารัก ทำไล่ทำนา ท่ามกลางธรรมชาติอันสดชื่น แต่ความสุขเหล่านั้นก็ถูกพรากไป เมื่อเขาโดนเกณฑ์ไปเป็นทหารให้กับ อะด๊อฟ ฮิตเลอร์ แต่เมื่อเขาได้เป็น

เขาก็รับรู้ว่าจริงๆ มันชั่วร้าย การทำสงคราม เข่นฆ่าผู้คนมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และเมื่อครั้งเขาโดนเรียกตัวอีกรอบ เขาจึงปฏิเสธที่จะออกรบให้กับ Hitler แต่เขาไม่ได้เลือกที่จะหนี เขาเลือกที่จะเผชิญหน้า และถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ ส่งผลให้ตัวเขาและครอบครัวตกที่นั่งลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถึงแม้หนังจะบอกเล่าถึงเรื่องราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นู้นนนน แต่ทำไมเราและเชื่อว่าใครหลายคนกลับมองว่ามันสะท้อนให้เห็นบางอย่างที่ไม่ได้ไกลตัวเลยแม้แต่น้อยทำไมคนที่เห็นต่างถึงกลายเป็นตัวปัญหา กลายเป็นคนผิด โดนสังคมประนาม โดนตัดสินไปต่างๆ นานา แถมครอบครัวยังต้องเดือดร้อนไปด้วย ทั้งจากชาวบ้านด้วยกันเอง

และระบอบเผด็จการทหารอันน่ารังเกียจใครเห็นต่างไม่เคารพ ท่านผู้นำ ก็ถูกจับไปขัง ใช้ความรุนแรงเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ผิด กดขี่ผู้น้อยอย่างไร้เหตุและผล พยายามโน้มน้าว ปรับทัศนคติให้เคารพเชื่อมั่นใน ท่านผู้นำ ถ้ายังไม่ได้อีก ก็นำไปขึ้นศาล ตัดสินคดีให้ผิด สั่งประหารซะสิ ง่ายๆ แค่นั้น มันคือชะตากรรมอันน่าหดหู่ของคนที่เห็นต่าง แค่คนที่ไม่เห็นด้วย ก็ต้องเจอกับเรื่องอันน่าเศร้าแบบนี้

มีประโยคนึงที่ตัวละครพูดเอาไว้ว่า เราจะมีสิทธิมีเสียงอะไรได้ เราแค่คนตัวเล็กๆ และ ยอมทนความอยุติธรรม ดีกว่าทำแบบนี้ สะท้อนภาพจำยอมของคนในสังคมที่รู้แหละมันไม่ได้ถูกซะทีเดียว แต่เราทำอะไรไม่ได้ ต้องก้มหน้า ยอมรับ และส่วนมากก็เป็นแบบนั้น แต่มันไม่ใช่กับพระเอก พระเอกยังยึดถือทัศนคติ แนวคิด ความเชื่อของเขา

ถึงแม้เขาไม่รู้หรอก การกระทำเขามันจะส่งผลอะไร ขยายไปวงกว้างแค่ไหน หรือจะมีประโยชน์ในภายภาคหลังต่อไปยังไง ถึงแม้จะหวังให้วงจรอุบาทนี้มันจบแค่รุ่นของเขาก็ตาม แต่เค้ายังยึดมั่นในสิ่งที่เขาเชื่อ ถึงแม้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ถึงแม้มันจะอาจหมายถึงการสละความสุขทุกอย่างก็ตาม

แอดมินขอสรุปให้เลยว่าหนังมีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง ที่เล่าเรื่องง่ายๆ แต่ตัวหนังอาจจะน่าเบื่อ ดำเนินเรื่องช้าๆ เนิบๆ ถ้าใครไม่ชอบอาจจะหลับได้หลายตลบเลยแหละ แต่สำหรับบางคนก็ชอบและถูกใจหนังแนวนี้อย่าลืมไปหามาชมกันนะครับ 

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวหนังครอบครัว อีกเรื่อง Im Thinking of Ending Things

รีวิวหนังครอบครัว ก่อนอื่นมาดูแนวหนังและคำแนะนำกันก่อนนะครับแม้ I’m Thinking of Ending Things  จะเป็นหนังที่ดัดแปลงจากนิยายสั่นประสาทเรื่องดัง และได้รับคำชมในปี 2016 ของ เอียน รี้ด แต่ก็ปฏิเสธไมได้ว่า ชื่อของผู้กำกับอย่างชาร์ลี คอฟแมน นั้นกลับกระตุ้นความสนใจกับคอหนังมากกว่า และเขาก็เปลี่ยนแปลงงานชิ้นนี้ให้กลายเป็นงานแบบของตนเองโดยสมบูรณ์เอาละครับไปอ่านเนื้อเรื้องกันเลย

 

ชื่อของ ชาร์ลี คอฟแมน จะต้องถูกยกขึ้นมาเสมอ ด้วยผลงานที่เขาร่วมงานกับ สไปค์ จอนซ์ ผู้กำกับมิวสิควิดีโอชื่อดัง อย่าง Being John Malkovich(1999), Adaptaion(2002) และหนังที่เขาเขียนร่วมกับผู้กำกับ มิเชล กอนดรี้ กับ ปิแอร์ บิสมัทธ์  ซึ่งทำให้เขาคว้ารางวัลออสการ์สาขาบทดั้งเดิมมาครอง รวมไปถึงผลงานที่เขาเป็นผู้กำกับและเขียนบทเองอย่าง Sงานที่ทะเยอทะยานที่สุดของเขาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแม้จะไม่ได้ผลตอบรับด้านรายได้

แต่ก็กวาดคำชมอย่างมาก ติดสิบอันดับจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ และทำให้เขาได้รับรางวัลหนังยอดเยี่ยมจากหนังเรื่องแรก ของ Independent Spirit Award รางวัลของวงการหนังอิสระของอเมริกา โดยในปี 2012 นิตยสารภาพยนตร์ชื่อดังจากอังกฤษ Sight & Sound  ยังยกให้หนังเรื่องนี้ติดหนึ่งในสิบหนังยอดเยี่ยมตลอดกาลอีกด้วย

รีวิวหนังครอบครัว

ด้วยไอเดียแหวกแนวที่คนๆ หนึ่งสามารถเข้าไปควบคุมร่างและจิตใจของดารามีชื่ออย่าง จอห์น มัลโควิช ได้ หรือสะท้อนภาวะตีบตันของคนเขียนบทในวงการฮอลลีวู้ด ผ่านการแสดงแบบคู่แฝดของ นิโคลัส เคจ ผ่านบทสนทนาแบบตลกร้ายที่สะท้อนให้เห็นว่าตัวตนของมนุษย์เรานั้นสูญหาย และเลื่อนไหลง่ายดายแค่ไหน ซึ่งสร้างชื่อให้เขาในฐานะคนที่เขียนบทหนังแนวเหนือจริง ให้กลายเป็นหนังทำเงิน และได้รับคำชมวงกว้างได้

สรุปกันเลยนะครับว่าผลงานกำกับล่าสุดของ ชาร์ลี คอฟแมน คนเขียนบทมากฝีมือที่ยังคงท้าทายคนดู จากเหตุการณ์ง่ายๆ เมื่อคู่รักที่เดินทางไปพบพ่อแม่ของฝ่ายชาย แต่ยิ่งเกิดเรื่องพิสดารขึ้นเรื่อยๆ

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว Netflix

รีวิวthe farewell หนังแนวครอบครัวที่สุดซึ้งจะเป็นหนังแบบไหน ?

รีวิวthe farewell หนังสำหรับครอบครัวที่น่าดูเรื่องหนึ่งไปรับชมรีวิวกันเลยครับ

รีวิวThe farewell ด้วยความยากลำบากที่สุดในการดู The Farewell (กอดสุดท้าย คุณยายที่รัก) คือการที่เราเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างของทุกฝ่าย โดยที่เราไม่สามารถตัดสินความถูกผิดของสิ่งใด ระหว่างสองฟากฝั่งของความเชื่อ โลกตะวันตก-ตะวันออก ในเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้นจาก ‘คำลวงที่เกิดขึ้นจริง’ ได้แม้แต่อย่างเดียวคือหนังที่เต็มไปด้วยคำโกหกนานาของครอบครัวชาวจีนที่มีลูกหลานขยายสาขาไปอยู่ที่อเมริกาและญี่ปุ่น ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เช่น หลอกว่าใส่หมวกแล้วตอนอากาศหนาว, หลอกว่าอยู่บ้านเพื่อนทั้งๆ ที่อยู่โรงพยาบาล, หลอกว่าไม่เป็นไร ไม่ได้ร้องไห้ ฯลฯ 

the farewell

ขยายไปที่เรื่อง หลอกว่าหลานชายกำลังแต่งงาน เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่ออำพรางการโกหกเรื่องใหญ่ที่สุดว่านี่คือการมาบอกลา เป็นครั้งสุดท้าย โดยที่ทุกคนต้องแกล้งทำเหมือนว่าอาม่าไม่ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ตามความเชื่อที่สืบทอดมาแต่โบราณว่าถ้าผู้สูงอายุรู้ว่าตัวเองป่วยจะเศร้าและมีชีวิตได้อีกไม่นาน หน้าที่ของลูกหลานคือการแบกรับความรู้สึกเศร้าเอาไว้แทน 

สิ่งที่เราชอบมากๆ นอกจากการนำการโกหกมาเป็นแกนหลักคือการที่หนังพยายามนำเสนอเหตุผลของการโกหกตามความเชื่อที่แตกต่าง วัฒนธรรมของจีนเชื่อแบบหนึ่ง ญี่ปุ่นเชื่อแบบหนึ่ง อเมริกาเชื่อแบบหนึ่ง และคนที่เป็นส่วนผสมของวัฒนธรรมก็เชื่ออีกแบบหนึ่ง

ต้องยกความดีความชอบให้ผู้กำกับอย่าง ลูลู่หวัง ที่ถอดบริบทของตัวเองในฐานะคนจีนที่ออกเดินทางตามความฝันอยากเป็นคนทำหนังที่อเมริกา และเคยผ่านเหตุการณ์ที่ทุกคนช่วยกันโกหกเพื่อปกปิดความจริงแบบในเรื่อง มาสะท้อนภาพความเป็นไปของคนในครอบครัว สังคม วัฒนธรรมที่แตกต่างได้อย่างเป็นกลาง ไม่ตัดสิน และมีน้ำหนักน่าเชื่อถือด้วยกันทั้งหมดเพราะถึงแม้เส้นเรื่องหลักจะอยู่การโกหก แต่ The Farewell ก็ไม่ได้ให้คำตอบสุดท้ายที่ชัดเจนว่าท้ายที่สุดแล้วการโกหกที่ดีหรือโกหกขาวนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำ และไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าการพูดความจริงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดได้เสมอไป 

สรุปเลยนะครับสำหรับเรื่อง the farewell สุดท้ายเราไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือเห็นด้วยกับความคิดของตัวละครทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุดเราจะใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขมากขึ้นอีกเยอะเลย

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : รีวิว ภาพยนตร์

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ Blusterfilms