รีวิวหนังThe Half of It : มาเลยครับสำหรับคอหนังรักแบบอินเลิฟฟต้องไปดูกัน !`

รีวิวหนังThe Half of It : ชีวิตจะสมบูรณ์ไหม ถ้าฉันไม่ได้เจออีกครึ่งใจของตัวเอง

รีวิวหนังThe Half of It : เล่าให้ฟังในการสัมภาษณ์ตอนเธอกำกับ Saving Face หนังเรื่องแรก เธอไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องทำหนังที่แตกต่างจากเรื่องอื่นหรือสร้างสิ่งใหม่ให้ฮอลลีวูด ณ ตอนนั้นการทำหนังรอมคอมว่าด้วยความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิงที่มีตัวเอกเป็นคนจีน-อเมริกันถือว่าหาดูได้ยากยิ่ง (แม้แต่ตอนนี้ก็ยังเป็น)วูบอกว่าเธอแค่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน มีเชื้อสายเอเชียน-อเมริกัน และเพียงอยากทำหนังที่มีคาแร็กเตอร์หลักเป็นคนที่คนดูไม่ค่อยเห็นกันบนจอเท่านั้น ความเซอร์ไพรส์คือหลังจากวันที่หนังออกฉาย

คนดูจำนวนมากซึ่งมาจากต่างที่ ต่างพื้นเพ ล้วนบอกว่าพวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับหนังของเธอ ตอนนั้นเองที่ทำให้วูรู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำนั้นสำคัญ และอาจเชื่อมโยงกับหลายคนได้มากกว่าที่เธอคิดปณิธานการทำหนังแบบนี้ยังถูกใช้กับเรื่องใหม่ แม้วูจะเว้นช่วงมานานกว่า 16 ปีและแน่นอนว่า The Half of It คือหนังเรื่องสำคัญ ไม่ได้กับเธอเท่านั้น แต่มันยังสำคัญกับใครหลายคนในมิติที่แตกต่างจากเรื่องก่อน

เหมือนถูกบังคับให้เป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน เอลลี่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นคนให้สัญญาณรถไฟแทนพ่อจนเพื่อนที่โรงเรียนตั้งฉายา เอลลี่ ชู-ชู (อารมณ์เสียงรถไฟฉึกกะฉัก ปู๊นๆ แต่ซับไทยแปลว่า เอลลี่ชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ ซึ่งก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ) เธอใช้ชีวิตแบบนี้ทุกวัน คิดอยู่เสมอว่าจะต้องอยู่เมืองเล็กๆ นี้กับพ่อไปจนตาย และถึงจะเรียนอยู่ปีสุดท้าย เธอก็ไม่คิดจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย

ตั้งแต่เด็กฉันแทบจะไม่ได้ดูหนังที่ตัวละครเอกเป็นคนเชื้อสายเอเชีย-อเมริกัน ลีอาห์ ลูวิส ย้ำว่าการได้สวมบทบาทเป็นเอลลี่เป็นมากกว่าการแสดงหนังเรื่องหนึ่ง เพราะนี่อาจเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เด็กสาวเชื้อสายเอเชีย-อเมริกันจะได้เห็นตัวละครคล้ายตัวเองรับบทนำในหนังเมนสตรีม เรื่องของพวกเขาควรค่าแก่การถูกเล่า เพราะในโลกความจริงพวกเขาคือตัวเอกในหนังชีวิตของตัวเอง และพวกเขาก็เผชิญปัญหาที่เอลลี่กำลังเจออยู่จริงๆ

สำหรับเรื่องนี้แอดมินว่ามันเกี่ยวกับ ความสมหวังและความเป็นหนังรักแบบที่ไม่มีใครเคยเห็น สำหรับ Netflix รับรองได้ว่าหนังเรื่องนี้ดีไม่แพ้เรื่องไหนเลยลองไปหามาดูกันได้เลยแอดมินว่าน่าจะถูกใจใครหลายๆ คนนะครับ

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวLove หากใครชอบหนังแนวครอบครัวลองไปหามาดูกันเลยครับ

ตัวเรื่องใช้เวลาในช่วงแรกหมดไปกับการใช้ชีวิตเดิมๆ กิน นอน ดูข่าว เล่นเกม (ก่อนนี่เน็ตจะล่ม) ในห้องของตัวพระเอก พร้อมปูว่าสัญญาณจากครอบครัวขาดไป ทำให้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่บ้าง ซึ่งเวลาที่ผ่านไปก็ไม่ได้มีเรื่องตื่นเต้นอะไรมากนัก นอกจากช่วงแรกที่มีเพื่อนบ้านติดเชื้อหลงเข้ามาในบ้าน กับการที่ต้องมองเห็นคนผ่านไปกลายเป็นซอมบี้โดยที่เขาช่วยเหลือไม่ได้ ซึ่งตัวผู้กำกับอาจจะพยายามเสนอความแปลกใหม่ของการติดอยู่ห้องผ่านหนังแนวซอมบี้ก็ได้ แต่มันกลับมีความไม่สมเหตุผลปนอยู่เป็นระยะ อย่างการที่พระเอกดันไม่รองน้ำประปาเก็บไว้จนน้ำหมดแถมกว่าจะคิดออกไปหาอาหารก็นานเกินจนจะอดตายแล้ว

ว่าสองคนนี้จะมีอะไรกันมากกว่านี้หรือเปล่า ก่อนที่ทั้งคู่จะหาทางเข้ามาเจอกันจนได้เพื่อไปยังจุดหมายใหม่ที่ดูแล้วปลอดภัยกว่า แต่เรื่องความสมเหตุผลที่มีปัญหาในช่วงแรกก็ยังตามมาในช่วงหลังอยู่ดี โดยเฉพาะการบุกเดี่ยวสู้ซอมบี้ของนางเอกที่ดูเว่อร์เกินแบบไม่ค่อยมีเหตุผลในมุมคนเอาตัวรอดสักเท่าไหร่ (มีเชือกปีนเขาข้ามฝั่งได้ แต่กลับใช้โรยตัวลงไปบู้ซอมบี้แทน) แต่หนังคงอยากสร้างฉากการเอาตัวรอดวิ่งหนีระทึกๆ ให้สมกับเป็นหนังซอมบี้แทนการติดอยู่ในห้องแทบทั้งเรื่องบ้างเท่านั้น ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าดูสนุก

สรุปเลยนะครับ ดารานำในเรื่องที่ดูแล้วน่าติดตามมาก แต่กลับไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย แถมยังมีความไม่สมเหตุผลปนอยู่เยอะตลอดทั้งเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้น่าติดตามคือความงามของนางเอกพัคชินฮเย ที่ช่วยให้เรื่องนี้ดูสดใสน่ารักขึ้นเป็นกองพระเอกค่อนข้างน่าเบื่อมาก ถ้าดูแบบหัวโล่งๆ เอามันส์ทั่วไปก็ถือว่าพอได้ผ่าน 

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวหนังA Hidden Life : หนังรักที่สร้างจากเรื่องจริงแนะนำให้ไปหาดูครับ

แอดมินว่าเรื่องนี้เป็นหนังที่อิงมาจากเรื่องจริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บอกเล่าเรื่องราวของชายหนุ่มผู้ที่มีความสุขเพียบพร้อม มีภรรยา มีลูกที่น่ารัก ทำไล่ทำนา ท่ามกลางธรรมชาติอันสดชื่น แต่ความสุขเหล่านั้นก็ถูกพรากไป เมื่อเขาโดนเกณฑ์ไปเป็นทหารให้กับ อะด๊อฟ ฮิตเลอร์ แต่เมื่อเขาได้เป็น

เขาก็รับรู้ว่าจริงๆ มันชั่วร้าย การทำสงคราม เข่นฆ่าผู้คนมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และเมื่อครั้งเขาโดนเรียกตัวอีกรอบ เขาจึงปฏิเสธที่จะออกรบให้กับ Hitler แต่เขาไม่ได้เลือกที่จะหนี เขาเลือกที่จะเผชิญหน้า และถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ ส่งผลให้ตัวเขาและครอบครัวตกที่นั่งลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถึงแม้หนังจะบอกเล่าถึงเรื่องราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นู้นนนน แต่ทำไมเราและเชื่อว่าใครหลายคนกลับมองว่ามันสะท้อนให้เห็นบางอย่างที่ไม่ได้ไกลตัวเลยแม้แต่น้อยทำไมคนที่เห็นต่างถึงกลายเป็นตัวปัญหา กลายเป็นคนผิด โดนสังคมประนาม โดนตัดสินไปต่างๆ นานา แถมครอบครัวยังต้องเดือดร้อนไปด้วย ทั้งจากชาวบ้านด้วยกันเอง

และระบอบเผด็จการทหารอันน่ารังเกียจใครเห็นต่างไม่เคารพ ท่านผู้นำ ก็ถูกจับไปขัง ใช้ความรุนแรงเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ผิด กดขี่ผู้น้อยอย่างไร้เหตุและผล พยายามโน้มน้าว ปรับทัศนคติให้เคารพเชื่อมั่นใน ท่านผู้นำ ถ้ายังไม่ได้อีก ก็นำไปขึ้นศาล ตัดสินคดีให้ผิด สั่งประหารซะสิ ง่ายๆ แค่นั้น มันคือชะตากรรมอันน่าหดหู่ของคนที่เห็นต่าง แค่คนที่ไม่เห็นด้วย ก็ต้องเจอกับเรื่องอันน่าเศร้าแบบนี้

มีประโยคนึงที่ตัวละครพูดเอาไว้ว่า เราจะมีสิทธิมีเสียงอะไรได้ เราแค่คนตัวเล็กๆ และ ยอมทนความอยุติธรรม ดีกว่าทำแบบนี้ สะท้อนภาพจำยอมของคนในสังคมที่รู้แหละมันไม่ได้ถูกซะทีเดียว แต่เราทำอะไรไม่ได้ ต้องก้มหน้า ยอมรับ และส่วนมากก็เป็นแบบนั้น แต่มันไม่ใช่กับพระเอก พระเอกยังยึดถือทัศนคติ แนวคิด ความเชื่อของเขา

ถึงแม้เขาไม่รู้หรอก การกระทำเขามันจะส่งผลอะไร ขยายไปวงกว้างแค่ไหน หรือจะมีประโยชน์ในภายภาคหลังต่อไปยังไง ถึงแม้จะหวังให้วงจรอุบาทนี้มันจบแค่รุ่นของเขาก็ตาม แต่เค้ายังยึดมั่นในสิ่งที่เขาเชื่อ ถึงแม้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ถึงแม้มันจะอาจหมายถึงการสละความสุขทุกอย่างก็ตาม

แอดมินขอสรุปให้เลยว่าหนังมีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง ที่เล่าเรื่องง่ายๆ แต่ตัวหนังอาจจะน่าเบื่อ ดำเนินเรื่องช้าๆ เนิบๆ ถ้าใครไม่ชอบอาจจะหลับได้หลายตลบเลยแหละ แต่สำหรับบางคนก็ชอบและถูกใจหนังแนวนี้อย่าลืมไปหามาชมกันนะครับ 

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์

รีวิวหนังjumbo ถ้ากำลังหามองหนังรักดีๆเรื่องนี้เราแนะนำ

รีวิวหนังjumbo

รีวิวหนังjumbo เป็นหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของหญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่กับแม่เพียงลำพัง ได้มาทำงานในสวนสนุก และตกหลุมรักกับเครื่องเล่นชิ้นหนึ่งและตั้งชื่อให้มันว่า Jumbo ที่สำคัญหนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงของคนที่ตกหลุมรักกับเครื่องเล่นในสวนสนุกจริงๆ

รีวิวหนังjumbo
รีวิวหนังjumbo

มองแค่โครงเรื่องและข่าวที่ได้ยินมามันอาจจะฟังดูแปลก แลดูเป็นเหมือนคนบ้า แต่จริงๆ แล้วมันมีโรคชนิดนี้อยู่จริงๆ ที่ถูกเรียกว่า Object Sexuality หรือ Objectophilia และหนังเรื่องนี้ก็นำเรื่องราวนี้มาถ่ายทอดอย่างเข้าใจ กับเรื่องราวความรักอันบริสุทธิ์ มันคือหนังรักธรรมดาๆ เรื่องนึงนี่แหละ หากเพียงแต่เปลี่ยนจากรักคน มารักสิ่งของเท่านั้น

รีวิวหนังjumbo
รีวิวหนังjumbo

หนังพาให้เราเข้าใจตัวละคร Jeanne ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่เธอเริ่มรู้จัก Jumbo จนเกิดเป็นความผูกพัน จนในที่สุดเรียกมันว่าความรักได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ซึ่งในระหว่างทางนั้น หนังยังนำพาสถานการณ์ต่างๆ ที่ Jeanne ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว หรือหัวหน้าที่ทำงานของเธอ และทั้งหมดนั้นมันคือตัวหล่อหลอมให้คำว่ารักอันแสนงดงามของ Jeanne ต่อ Jumbo มันชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก

หากใครคิดว่ามันจะเป็นหนังแบบแปลกมีเพศสัมพันธ์วาบหวิวกับเครื่องเล่นแบบนั้นบอกเลยว่าไม่ใช่ แต่มันมีฉากนึงน่าชื่นชมจริงๆ คือซีนอีโรติก orgasm ของตัว Jeanne ที่นำเสนอออกมาได้ดูยอดเยี่ยมจริงๆ ถึงแม้ว่าตัวละครจะเปลือยช่วงบนก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ชวนให้คิดไปในทางอนาจารเลยแม้แต่น้อย 

สรุปแล้ว Jumbo เป็นหนังที่คนเข้าถึงง่ายและหนังจะบ่งบอกว่าหนังเรื่องนี้รักสิ่งของแต่สำหรับเราเราว่าหนังเรื่องนี้เหมาะกับรักที่เข้าใจง่ายเข้าถึงง่ายมากกว่ารักสิ่งของเสียอีก 

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์