รีวิว หนัง Saving Private Ryan เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรก หนังสงครามอาจเป็นหนังที่หลายคนไม่ชอบ เพราะส่วนใหญ่ก็จะรู้กันอยู่แล้วว่ามันมักจบแบบใหน คือถ้าไม่อยากดราม่า น้ำตาแตกก็คงไม่ดูกัน แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นหนังสงคราม ที่ถึงแม้คนไม่ชอบหนังแนวนี้ก็ยังต้องดู แถมยังติดอันดับหนังดี ในใจของใครหลายคนด้วย [ สปอยนิดๆ ]
รีวิว หนัง Saving Private Ryan เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอัน ฝ่าสมรภูมินรก นี่เป็นหนังที่มีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง เป็นเรื่องราวของทหารกลุ่มหนึ่งในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่บุกขึ้นหาดได้เสร็จในวันดีเดย์ หลังจากนั้น 3 วัน ร้อยเอกจอห์น มิลเลอร์ได้ถูกมอบหมายภารกิจพิเศษโดยให้ไปตามหาและพาตัวพลทหารเจมส์ ไรอันกลับมาบ้านแบบมีชีวิต เนื่องจากพี่น้องของเขาทั้ง3คน ที่เป็นทหารเหมือนกัน ได้เสียชีวิตในสนามรบไปหมดแล้วในเวลาไล่เลี่ยกัน ( ในเรื่องจริง มีพี่น้องคนหนึ่งไม่ได้เสียชีวิต แต่ถูกทางกองทัพญี่ปุ่นจับตัวไป แต่มารู้ข่าวในภายหลัง ) นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของตระกูล

ทางกองทัพจึงอยากจะตอบแทน แม่ของไรอันโดยการตามตัวไรอัน ซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องกลับคืนสู่ครอบครัวแบบเป็นๆ หลังจากที่โดดร่มแล้วหายตัวไปในสนามรบ ปฏิบัติการณ์นี้มีร้อยเอกจอห์นเป็นหัวหน้าทีม นี่เป็นภารกิจที่เสี่ยงอันตรายมาก มันจึงมาพร้อมกับคำถามอยู่ตลอดเวลาว่าคุ้มค่าแล้วหรือ ที่จะส่งกำลังทหารหลายนายเข้าไปเสี่ยงชีวิต เพื่อช่วยคนเพียงคนเดียว เพราะทหารคนอื่นก็มีครอบครัวที่ต้องกลับไปหาเช่นเดียวกัน จึงทำให้ปฏิบัติการณ์ครั้งนี้เหล่าทหารต้องสู้ทั้งศัตรูและสู้ทั้งความสับสนที่กัดกินจิตใจด้วย

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่หลายคนยกขึ้นหิ้งว่าเป็นที่สุดของหนังสงคราม เพราะมีครบทุกรสชาติทั้งสนุก มันส์ เศร้า ซึ้งและดราม่า หนังสื่อสารกับผู้ชมถึงความโหดร้ายและความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงครามได้เป็นอย่างดี ฉากเปิดเรื่องประมาณ 15 นาทีแรกกับฉากตอนจบเป็นอะไรที่ประทับใจผู้ชมมานานหลายปี ฉากในเรื่องบอกเลยว่าฆ่าเป็นฆ่า เลือดเป็นเลือด ใครไม่ค่อยชอบเลือดอาจไม่เหมาะกับเรื่องนี้ แต่มันเป็นหนังดีที่ควรค่าแก่การชมจริงๆ สุดท้ายแล้วทหารมากมายได้สละชีวิตไปในปฏิบัติการณ์นี้ ไรอันได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยพร้อมกับความรู้สึกขอบคุณและคำถามที่เกิดขึ้นในใจไปตลอดชีวิตเช่นเดียวกัน

Saving Private Ryan เป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่และได้รับการจับตาเป็นอย่างมากในปี ค.ศ. 1998 อีกทั้งเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดประจำปีนั้นด้วย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความสูญเสียของกำลังทหารและชีวิตผู้คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฉากเปิดเรื่องที่ยาวกว่า 10 นาที ที่เป็นการบุกหาดโอมาฮ่า ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสมรภูมิที่สูญเสียที่สุดของกองทัพสหรัฐอเมริกา ได้รับคำวิจารณ์ว่าทำได้เสมือนจริงอย่างมาก และหลายคนได้นำไปเปรียบเทียบกับภาพยนตร์แนวเดียวกันในอดีต อย่าง The Longest Day ในปี ค.ศ. 1962

เมื่อเข้าฉายแล้ว ได้รับการจับตาอย่างยิ่งว่าจะคว้ารางวัลได้หลายรางวัล ทั้ง รางวัลออสการ์หรือรางวัลลูกโลกทองคำ รวมทั้ง รางวัลอื่น ๆ ด้วย ซึ่งภาพยนตร์ก็คว้าได้หลายรางวัลด้วยกัน โดยเฉพาะการแสดงที่โดดเด่นอย่างมากของ ทอม แฮงค์ และเจเรมี เดวีส์ ที่รับบทเป็นพลทหารอับฮัม ที่ตื่นตระหนกตลอดเวลา เป็นเหมือนลูกไล่และจุดอ่อนของกองกำลัง

ซึ่งในระหว่างที่เข้าฉายนั้น ก็มีภาพยนตร์ในแนวเดียวกัน คือ The Thin Red Line ของทเวนตี้ เซนจูรี ฟอกซ์ เข้าฉายในเวลาเดียวกัน เสมือนเป็นคู่แข่งและคู่เปรียบเทียบ ในรางวัลออสการ์มีชื่อเข้าชิงมากถึง 11 รางวัล ประกอบไปด้วย รางวัลใหญ่ ๆ ด้วยกัน เช่น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม, บันทึกภาพยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, บันทึกเสียงยอดเยี่ยม เป็นต้น คอหนังสงครามห้ามพราดเด็ดขาด มีให้ชมแล้วบน netflix
ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์
ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB : Blusterfilms