รีวิวหนัง Ratatouille : พ่อครัวหนูตัวจิ๋วที่สามารถทำอาหารได้รสชาติล้ำเลิศ

รีวิวหนัง Ratatouille : พ่อครัวหนูตัวจิ๋วที่สามารถทำอาหารได้รสชาติล้ำเลิศ

รีวิวหนัง Ratatouille หนู เป็นสัตว์ที่ไม่ควรอยู่ในห้องครัว ก็เหมือนมนุษย์บางคนไม่เหมาะกับการทำบางสิ่งอย่าง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะทำไมได้ หลายครั้งอาจยอดเยี่ยมดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าเราไม่ปิดกั้นโอกาส มอบความเสมอภาคเท่าเทียม แม้แต่หนูก็สามารถกลายเป็นเชฟกระทะเหล็กได้ ต้องดูให้ได้ก่อนตาย

เรื่องราวของหนูตัวน้อยเรมี่ ที่มีพรสวรรค์ในด้านการดมกลิ่น และความคิดที่ไม่เหมือนหนูตัวอื่น เมื่อเขาใฝ่หาแต่อาหารดีๆ ขณะที่ตัวอื่นกลับกินแต่อาหารขยะ มันมีความสามารถในด้านการปรุงอาหาร และฝันอยากเป็นพ่อครัว  เมื่อชีวิตผกผันพลัดหลงกับบ้านของตัวเอง ญาติพี่น้องของตัวเอง มาอยู่ในปารีส เมืองใหญ่ที่มีร้านอาหารหรู และอร่อยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มันก็ได้พบกับ “ลิงกวินี่”

เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกชายของภรรยาของเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง (เขาคือ ออกัส กุสโต้ เป็นพ่อครัวที่เขานับถือเป็นฮีโร่ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว) เด็กชายที่ดูแสนจะธรรมดา เขาเข้ามาทำงานในฐานะเด็กเก็บขยะ ด้วยความผิดพลาดทางเทคนิค ลิงกวินี่และเรมีก็ได้รู้จักกัน แล้วรับรู้ว่าเรมี่สื่อสารกับเขาได้ แถมปรุงอาหารเก่งสุดยอด แต่หนูกับห้องครัวของร้านอาหารชื่อดัง เป็นสิ่งที่ไม่เข้ากันอย่างยิ่ง

เรมี่ต้องใช้พรสวรรค์ที่มีสร้างสรรค์อาหารรสเลิศผ่านทางลิงกวินี่ แต่ว่าทุกอย่างมันดูไม่ง่ายเลย เมื่อดูเหมือนจะมีอุปสรรครอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น การจ้องจับผิดจากนักวิจารณ์ ครอบครัวที่ตามมาเจอกันจนได้ การเก็บความลับเรื่องหนูเข้ามาในร้าน รวมทั้งปัญหาเรื่องความเป็นเจ้าของร้านอาหารอีกที่รุมล้อมเข้ามานั่นเอง

เมื่อชาติกำเนิดของเรมี่ยืนอยู่คนละด้านมุมกับความฝัน การวิ่งคว้ามันจึงเหน็ดเหนื่อยกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หลายเท่าตัว การเกิดมาเป็นหนู ไม่ได้เอื้อให้เขาเติบโตเป็นพ่อครัวระดับโลกได้เลย เพราะเพียงแค่ย่างเข้าครัว เรมี่ก็ถูกไล่ตะเพิด และจับตัวไว้ในโหลแก้ว หนูสกปรกที่หลุดเข้าไปตามหาความฝันผิดที่อย่างเรมี่ ถูกเชฟใหญ่ประจำภัตตาคารหรู ใช้ให้เด็กทำความสะอาดห้องครัวชื่อลิงกวินี่ นำไปกำจัดให้พ้นสายตาทันที ชีวิตของมนุษย์ชื่อ ลิงกวินี่ กับหนูสีฟ้า อย่าง เรมี่ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อฝ่ายหนึ่งกำลังไล่คว้าความฝันซึ่งอยู่ห่างไกลจากชาติพันธ์ที่กำเนิด แต่อีกฝ่ายกลับมีชีวิตล่องลอยอยู่กลางสุญญากาศชีวิต ลิงกวินี่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการเป็นมนุษย์กระทำสิ่งที่จะช่วยผลักดันตัวเขาให้ก้าวไปข้างหน้าแม้แต่น้อยในขณะที่สิ่งมีชีวิตใต้โหลแก้วในเงื้อมมือของเขานั้นกลับมีจุดหมาย และความฝันที่มั่นคงชัดเจน

การโคจรมาพบกันของมนุษย์ไม่เอาถ่าน กับหนูสีฟ้าที่พกความฝันติดตัวในยามตื่น นำไปสู่การร่วมมือกันทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด ลิงกวินี่ตัดสินใจร่วมมือกับเรมี่ ที่มีความสามารถและลมหายใจจดจ่ออยู่กับการเป็นพ่อครัวระดับโลก ในขณะที่การเดินเข้าครัวไปปรุงอาหารเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับพ่อครัวตัวน้อยนั้น ลิงกวีนี่ก็ใช้ความเป็นมนุษย์เบิกทางให้เรมี่เข้าไปสานฝันของตัวเอง ด้วยการควบคุมการทำอาหารผ่านมือ และร่างกายของลิงกวินี่ เรมี่สามารถใช้ชีวิตเป็นพ่อครัวดังที่เขาประสงค์ได้ ในขณะเดียวกันลิงกวินี่ก็กลายเป็นพ่อครัวที่มีชื่อเสียง เป็นคนที่มีคุณค่า โดยที่แท้จริงแล้วความฝันของมนุษย์เช่นเขาก็ยังไม่งอกเงยขึ้นมา ความสัมพันธ์ของคนกับหนูคู่นี้ ดำเนินไปอย่างซึมลึก หนังค่อยๆ เผยให้เห็นด้านมืด และมุมสว่างในความสัมพันธ์ ที่ฝ่ายหนึ่งเอาชีวิตที่เลื่อนลอยไปแขวนไว้ แต่อีกฝ่ายมีความฝันอันงดงามผูกติดอยู่ที่ปลายเชือกความสัมพันธ์ เมื่อลิงกวินี่เริ่มคำนึงถึงชื่อเสียงของตัวเองมากจนไปกระเทือนเชือกเส้นนั้น ส่วนเรมี่ก็ใช้อารมณ์ชั่ววูบในการวิพากษ์ความสัมพันธ์ครั้งนี้ กระทั่งท้ายที่สุด ชาติกำเนิดของลิงกวินี่และเรมี่ก็ไม่ได้ช่วยจำแนกเขาทั้งสองให้ต่างกันในด้านที่ลึกไปกว่ากายภาพของความเป็นมนุษย์ และหนูเลยนั่นเอง

ซึ่งความสนุกของหนังเรื่องนี้มีมากมายให้เหล่าผู้ชมนั้นได้เพลิดเพลินกันตลอดทั้งเรื่อง และอีกหนึงสิ่งที่น่ายกย่องคือบทภาพยนตร์ของหนังที่ทำออกมาได้ดีมากๆ มองกันในมุมลึกนั้นถึงกลับสามารถสะท้อนแง่มุมชนชั้นแรงงานในสังคมฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ การเลือกตัวละครหลักเป็นหนูนั้นเปรียบเสมือนแรงงานที่มีหน้าที่ทำงานตามคำสั่ง หรือทำงานตามที่ตัวเองพึงกระทำ ห้ามแตกต่าง หรือแตกแยกจากคนอื่น แม้จะเป็นเพียงหนังการ์ตูนสำหรับเด็กแต่ประเด็นเรื่องความฝันที่หนังถ่ายทอดนั้นแจ่มชัดมาก ความน่าสงสารของ เรมี่ ซึ่ง

สรุป Ratatouille นี้นั้นจัดได้ว่าเป็นภาพยนตร์สำหรับครอบครัวอย่างแท้จริงอีกทั้งยังมีมุขตลกต่างๆ ที่สอดแทรกอยู่ในหนังทำได้อย่างลงตัว และต้องจังหวะของผู้ชมทุกเพศวัย ไล่ระดับตั้งแต่มุขพื้นๆ ประเภทตกนู่น ชนนี่ ที่ผู้ชมตัวน้อยสามารถเข้าใจได้ ไปจนถึงมุขตลกเสียดสีต่างๆ โดยเฉพาะการจิกกัดนักวิจารณ์ที่ทำตัวเยี่ยงเทวดาทั้งหลาย ด้วยการตั้งชื่อตัวละครที่เป็นนักวิจารณ์อาหารว่า อีโก้ และตบท้ายด้วยการให้นักวิจารณ์อย่างอีโก้ กล่าวถึงอาชีพการเป็นนักวิจารณ์ของตัวเอง ซึ่งทำเอาบรรดานักวิจารณ์ผู้สูงส่งทั้งหลายรู้สึกแสบคันไปตามๆ กันเลยทีเดี่ยวนั่นเอง 

ติดตามแฟนเพจได้ที่ FB :Blusterfilms

ติดตามเว็บรีวิวหนังได้ที่ รีวิว ภาพยนตร์